Category Archives: MY PASTRY JOURNEY

My Pastry Journey #13: Banana Cake

อยากจะลองทำเมนูแบบร้านขนมหะรูหะรากับเขามั่ง แต่ฝีมืออาจจะยังไม่ถึง ^^”
สัปดาห์นี้ก็เลยลองเมนูบ้านๆที่หลายคนก็คงเคยกินมาทำดีกว่า จะได้ฝึกฝีมือมากขึ้น
ก็เลยยังไม่พ้นเมนูเค้กเหมือนเดิม เพราะกินได้ทั้งบ้าน วันนี้เลยทำ Banana Cake ครับ

Banana Cake เค้กกล้วยหอมอย่างที่เรารู้จักกัน ก็ไม่ได้เป็นเมนูที่แปลกจากขนมที่เคยทำ
เพราะมันก็คือเค้กเนยแต่ใส่กล้วยหอมลงไปนี่แหละ ฉะนั้น อยากทำเค้กผลไม้อะไรก็ใส่ผลไม้ลงไปเนอะ
แต่รับประกันผลหรือเปล่าก็คำนวณส่วนผสมให้ดีๆนะ (ฮี่ฮี่) เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

Photobucket

ส่วนผสมทำเค้กกล้วยหอม มีตามนี้ครับ

แป้งเค้ก 1 3/4 ถ้วย
เกลือ 1/2 ช้อนชา
ผงฟู 3 ช้อนชา
ไข่ไก่ (เบอร์ 0) 3 ฟอง
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
เอสพี 2 ช้อนชา
เนยละลาย 3/4 ถ้วย
โยเกิร์ตธรรมดา 1 กระป๋อง
น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
วานิลลา 1 ช้อนชา
กล้วยหอมบด 200 กรัม (ประมาณ 2 ลูก)

ใครที่อยากดูสูตรเค้กเนยที่เคยทำไปแล้ว ไปตามนี้ได้เลยนะครับ My Pastry Journey #3: Butter Cake

Photobucket

เอาล่ะ เรามาเริ่มทำกันเลยดีกว่า

1. เริ่มจากร่อน แป้ง ผงฟู และเกลือ แล้วพักไว้ก่อน
2. จากนั้นตี ไข่กับน้ำตาล ในปริมาณเพิ่มเป็น 3 เท่า ใส่เอสฟีตามลงไป
ผมลองใช้น้ำตาลทรายแดงผสมลงไปด้วย กะว่าอยากให้สีเข้มขึ้น แต่ดูก็ไม่ค่อยเข้มเท่าไหร่ ^^”
3. จากนั้นเอาเนยไปตั้งไฟให้ละลาย แล้วเอาแป้งที่ร่วมไว้มาผสมลงในไข่ ใส่สลับกับเนยและโยเกิร์ตจนหมด
4. ปิดด้วย น้ำมะนาวและวานิลลา ผสมพอเข้ากัน

Photobucket

จากนั้นก็ได้เวลาใส่กล้วยบดลงไป จะผสมด้วยไม้พายหรือว่าจะใช้เครื่องตีผสมก็ได้
ผสมพอเข้ากัน ให้เห็นว่ากล้วยเป็นส่วนผสมเนื้อเดียวกับส่วนผสมเค้กแล้วก็เป็นใช้ได้

จากนั้น เตรียมพิมพ์เค้กกันได้ จากปริมาณส่วนผสมจะได้เท่ากับ เค้ก 2 ปอนด์ 2 ก้อน
แต่ถ้าใครอยากจะทำเป็นแนวคัพเค้ก ก็เตรียมพิมพ์คัพเค้กไว้ด้วย แล้วแต่ชอบครับผม ^_^

Photobucket

ตั้งเตาอบที่ 180 C ใช้ไฟล่างอบ เวลาอบประมาณ 15-20 นาที จนเนื้อเค้กไม่ติดไม้ขึ้นมาเป็นใช้ได้

เผอิญว่ามีสตรอเบอร์รี่ในตู้เย็น ก็เลยลองใส่ไปด้วย เพราะอยากรู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง
เท่าที่บอกได้ก็คือ อย่าใส่เลยครับ (แหะๆ) เพราะมันทำให้เนื้อเค้กไม่จับตัวดี แอบแหยะๆด้วย ^^”

Photobucket

เอาล่ะครับได้แล้ว เค้กกล้วยหอมของเรา…

แบ่งส่วนผสมไปใส่พิมพ์คัพเค้ก (ที่ดันใส่สตอรเบอร์รี่แล้วออกมาไม่สวย) เค้กก็เลยชิ้นไม่ใหญ่เท่าไหร่ครับ
เนื้อเค้กออกมานุ่มดี รสชาติดีครับ แช่ตู้เย็นแบบเค้กเนยแล้วกินก็ยิ่งอร่อยขึ้นด้วย ลองทำกันดูได้นะครับ

ครั้งต่อไปคิดว่าจะลองเมนูที่ไม่ใช่เค้กบ้างแล้วล่ะ แล้วเจอกันใหม่ครับผม…

My Pastry Journey #12: Marble Cake

ไม่ได้เขียนบล็อกมาเป็นเดือนเลย เจองานโน้นเคลียร์งานนี้ เวลาทำขนมใหม่ก็เลยไม่ค่อยมี
เดี๋ยวจะห่างเหินเกินไป (ที่จริงก็เกินแล้วล่ะ) เลยนึกเมนูขนมใหม่ง่ายๆที่ใครหลายคนก็น่าจะเคยกิน
ก็เลยหยิบแป้งหยิบเนย น้ำตาล ช็อกโกแลตที่มีอยู่ แล้วก็ออกมาเป็นเมนูวันนี้ที่กลับมาเขียนบล็อกอีกครั้ง

Marble Cake เมนูหน้าตาสวยๆที่หลายคนน่าจะเคยกิน เค้กที่ผสมกันระหว่างเค้กเนยกับช็อกโกแลต
เป็นเค้กแนวรักพี่เสียดายน้องของคนที่ชอบทั้งเค้กเนยและช็อกโกแลต ก็เลยเอามาผสมกันซะเลย ^^”
เผอิญว่าผมดันเป็นคนประเภทนั้น ก็เลยลองทำซะหน่อย เอาล่ะ มาเริ่มลองทำกันเลยดีกว่า

Photobucket

ส่วนผสมเค้กเนย
(1) แป้งเค้ก 1 3/4 ถ้วย
(1) เกลือ 1/2 ช้อนชา
(1) ผงฟู 3 ช้อนชา
(2) ไข่ไก่ (เบอร์ 0) 3 ฟอง
(2) น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
(2) เอสพี 2 ช้อนชา
(3) เนยละลาย 3/4 ถ้วย
(3) โยเกิร์ตธรรมดา 1 กระป๋อง
(3) วานิลลา 1 ช้อนชา

ส่วนผสมเค้กช็อกโกแลต
(1) น้ำร้อน 1/2 ถ้วย
(1) ผงโกโก้ 2/3 ถ้วย
(1) เนยสด 1 ช้อนโต๊ะ
(2) น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
(2) แป้งสาลี 1 ถ้วย
(2) ผงฟู 1 1/2 ถ้วย
(2) เกลือ 1/2 ช้อนชา
(3) เนยสด 1/4 ถ้วย
(4) ไข่ไก่ (เบอร์ 0) 1 ฟอง
(4) โยเกิร์ตธรรมดา 1/2 กระป๋อง
(4) วานิลลา 1 ช้อนชา

Photobucket

เรามาเริ่มทำส่วนผสมเค้กเนยก่อนดีกว่า

1. เริ่มจากเบอร์ (1) แป้งเค้ก ผงฟู และเกลือ ร่อนเข้าด้วยกัน แล้วพักไว้ก่อน
2. จากนั้นเอาเบอร์ (2) ไข่ไก่ น้ำตาลทราย ตีสปีดกลางจนปริมาณเพิ่ม 3 เท่า แล้วใส่เอสพีผสมลงไป
3. ไปที่ส่วนเบอร์ (3) เอาเนยสดไปตั้งไฟให้ละลาย แล้วเอาแป้งที่พักไว้มาผสมสลับกับ เนยและโยเกิร์ต
4. ผสมเนยละลาย โยเกิร์ต และส่วนผสมแป้งสลับกันจนหมดแล้ว ปิดท้ายด้วยวานิลลา

เท่านี้เราก็จะได้ส่วนผสมเค้กเนยแล้ว พักเอาไว้ก่อน เตรียมไปทำส่วนผสมเค้กช็อกโกแลตต่อ
สำหรับใครที่อยากทำเค้กเนยเพียวๆ ไปดูวิธีทำกันได้ตามนี้เลยนะครับ My Pastry Journey #3: Butter Cake

Photobucket

เรามาทำเค้กช็อกโกแลตกันต่อ

1. เริ่มจากนำเบอร์ (1) ผงโกโก้ ละลายในน้ำร้อนและตามด้วยเนยสดผสมลงไป
2. จากนั้นนำเบอร์ (2) แป้งสาลี น้ำตาลทราย ผงฟู เกลือ ร่อนเข้าด้วยกัน
3. นำส่วนผสมเบอร์ (3) เนยสด ใส่ลงไปพร้อมกับผงโกโก้ละลาย ลงในส่วนผสมแป้ง ตีสปีด 1 ให้เข้ากัน
4. นำส่วนผสมเบอร์ (4) ไข่ไก่ โยเกิร์ต วานิลลา ใส่ตามลงไปพร้อมกัน ตีสปีด 1 ให้เข้ากันประมาณ 2 นาที

ได้แล้วครับ ส่วนผสมเค้กช็อกโกแลต แล้วเราก็มีส่วนผสมเค้กเนยแล้วด้วย
ใครอยากทำเค้กช็อกโกแลตเต็มๆ ไปตามนี้ได้นะครับ My Pastry Journey #10: Betty’s Chocolate Cake

Photobucket

เอาล่ะ ได้เวลาผสมเค้กเนยและเค้กช็อกโกแลตเข้ากันแล้ว…
ตามส่วนผสมนี้ จะได้เค้ก 2 ปอนด์ประมาณ 3 ก้อน ให้เตรียมพิมพ์เหลี่ยมหรือพิมพ์กลม 2 ปอนด์ตามนั้น

1. เทส่วนผสมเค้กเนยไปครึ่งพิมพ์ก่อนทั้ง 3 พิมพ์ จากนั้นก็เทส่วนผสมเค้กช็อกโกแลต กะแบ่ง 3 พิมพ์เท่ากัน
2. เอาช้อนคนส่วนผสมช็อกโกแลตให้เป็นลายหินอ่อน คนจากก้นขึ้นมา ช็อกโกแลตจะได้ไม่นอนก้น
3. อุ่นเตาอบที่ 180 C 10 นาที หลังจากนั้นก็เอาส่วนผสมเข้าเตาอบ อบไฟล่างประมาณ 30-35 นาที
4. ลองเอาไม้จิ้มลงไปแล้วไม่มีเศษเค้กติดขึ้นมา เป็นอันใช้ได้ เราก็ได้ Marble Cake แล้ว ^__^

Photobucket

ได้แล้วครับผม Marble Cake แง่มๆ ^__^

เที่ยวนี้ไม่ได้คนให้ทั่วพอ ช็อกโกแลตเลยนอนก้นเยอะเหมือนกัน (ถึงบอกให้คนจากก้นพิมพ์ด้วยไงครับ) ^^”
ใครได้ลองทำอย่าลืมคนให้ทั่วนะครับ ลายจะได้สวยๆ ส่วนรสชาติ ทดสอบแล้วว่าอร่อยใช้ได้ครับ (ฮี่ฮี่)

สัปดาห์นี้มากิน Marble Cake กัน แล้วคราวหน้าจะหาขนมเมนูใหม่มาทำให้ทานกันต่อครับผม…

My Pastry Journey #11: Blueberry Cheesecake

My Pastry Journey กลับมาแล้วครับ ช่วงนี้ทำไม่ทุกสัปดาห์เท่าไหร่ เพราะมีงานและกระเป๋าแห้งๆ ^^”
เมนูนี้ว่าจะทำมาให้เพื่อนๆได้ดูนานแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำซะที เพราะว่าส่วนประกอบแต่ละอย่างนี่แพงจับใจ
ยิ่งยุคข้าวของแพงแบบนี้ด้วย แต่เอาน่า ในฐานะสาวกบลูเบอร์รี่เป็นทุนเดิม ก็พลาดเมนูนี้กันไม่ได้ล่ะครับ

Blueberry Cheesecake คงจะเป็นเมนูที่หลายๆคนโดยเฉพาะสาวๆน่าจะชอบ
ทั้งชอบและทั้งกระอักกระอ่วนใจ เพราะกินมากไปก็ไม่ดี แต่ทั้งหน้าตาและรสชาติมันก็ชวนกิน
แล้วชีสเค้กก็เป็นอีกเมนูหนึ่งที่ขั้นตอนการทำง่ายเหลือเชื่อ ผิดกับราคาที่แสนแพงของมัน

Photobucket

เรามาดูส่วนประกอบในการทำบลูเบอร์รี่ชีสเค้กกันดีกว่า

ฐานครัสต์
แครกเกอร์ 1 แถว (แครกเกอร์ริซนั่นแหละครับ หรือใครอยากใช้โอริโอ้ก็ตามแต่ชอบ)
เนยสดนิ่ม 4 ช้อนโต๊ะ

ชีสเค้ก
ครีมชีสฟิลาเดเฟีย 1 ก้อน (ตัวแพงเลย T.T)
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
ครีมเปรี้ยว 1 ถ้วขขาย
ไข่ไก่ 2 ฟอง (เบอร์ 1)
วานิลลา 1/2 ช้อนชา

แล้วก็บลูเบอร์รี่กวนสำเร็จรูป 1 กระป๋อง (นี่ก็ตัวแพงอีกเหมือนกัน T.T)
ซึ่งใครจะทำเองก็ได้ แต่ว่าซื้อที่เป็นกระป๋องแล้วจะดีกว่า เพราะมันถูกกว่าทำเอง (จริงๆครับ)

Photobucket

เอาล่ะครับ มาทำกันดีกว่า เริ่มจากฐานครัสต์ก่อน

1. เริ่มแรกก็ทำฐานครัสต์ก่อน เอาแครกเกอร์มาตำป่นให้ละเอียดจนหมดแถว
2. เสร็จแล้วก็ผสมเนยลงไปในแครกเกอร์ป่น คลุกเคล้าให้เข้ากันจนจับตัวเป็นก้อนๆ
3. เอาแครกเกอร์ที่ผสมเนยไปกรุฐานแม่พิมพ์เค้ก 2 ปอนด์แน่นๆให้ทั่ว ปูกระดาษไขก่อนกรุนะครับ
4. เอาเข้าไปอบที่ 180 C ประมาณ 10 นาที เท่านี้เราก็จะได้ฐานครัสต์แล้ว

Photobucket

จากนั้น เรามาทำตัวชีสเค้กกัน

1. เอาครีมชีสออกมาตีให้นิ่ม ตีไปจนกระทั่งครีมชีสขึ้นฟู (จะสังเกตได้ว่าชีสจะดูนิ่มและจับยอดแหลมๆหน่อย)
2. เสร็จแล้วให้ใส่น้ำตาลตามลงไป ตีที่สปีดกลางจนหมด
3. จากนั้นใส่ครีมเปรี้ยว และไข่ไก่ ลดสปีดลงมาที่สปีดต่ำ
4. ปิดท้ายด้วยวานิลลา ผสมให้พอเข้ากัน

ถึงตรงนี้ใช้เวลาไม่นานมากครับ ใครชอบให้หวานขึ้นก็ใส่น้ำตาลเพิ่มได้ แต่ 1 ถ้วยนี่กำลังดีแล้ว
แต่ถ้าใครอยากได้กลิ่นครีมชีสก็ลดน้ำตาลลงมาหน่อย แต่คิดว่าส่วนใหญ่คงไม่ค่อยจะชอบกัน ^^

Photobucket

จากนั้น ขั้นตอนตรงนี้สำคัญ ไม่เหมือนเค้กทั่วไปครับ

1. เอาส่วนผสมชีสเค้กเทลงไปบนตัวครัสต์
2. ให้คลุมตัวพิมพ์เค้กด้วยอลูมิเนียมฟลอยด์ให้ทั่ว ก่อนที่จะวางไว้บนถาดที่มีน้ำ (สำคัญครับ)
3. เอาเข้าเตาอบที่ 170 C ประมาณ 50-60 นาที หรือจนเห็นไอน้ำจับตัวหน่อยๆบนหน้าเค้กเป็นใช้ได้
4. หลังอบเสร็จแล้ว อย่าเปิดเตาทันที ทิ้งไว้ในเตา 4 ชั่วโมง เพราะเดี๋ยวหน้าเค้กยุบครับ

ที่บอกว่าขั้นตอนสำคัญก็คือ ต้องคลุมพิมพ์เค้กด้วยฟลอยด์ และวางตัวพิมพ์บนถาดน้ำ
ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาอุณหภูมิในเตาให้คงที่ และทำให้เนื้อเค้กเนียนนุ่มและไม่แห้ง สีสม่ำเสมอทั้งก้อนนั่นเองครับ
และอย่างสุดท้ายก็อย่างที่บอกไว้ในข้อ 4 อย่าเปิดเตา เพราะหน้าเค้กจะยุบนั่นเองครับ

Photobucket

หลังจากครบ 4 ชั่วโมง ก็เอาชีสเค้กไปแช่ไว้ทั้งคืนเลยครับ (หน้าไหม้ไปหน่อย อบนานไปนิดนึงน่ะครับ) ^^”
หลังจากแช่ทั้งคืนก็มาเอาเค้กออกจากฐานกัน ช่วงนี้จะยากๆนิดนึง ใจเย็นๆค่อยๆเอาออกจากฐานพิมพ์นะครับ

จากนั้นก็เอาบลูเบอร์รี่มาราดได้แล้วล่ะครับ มากน้อยก็ตามแต่ชอบเลย เท่านี้เราก็กินได้แล้วครับ d^o^b

Photobucket

หลังจากอดทนรอมาหนึ่งคืน ก็ได้แล้วครับ Blueberry Cheesecake

ขั้นตอนการทำค่อนข้างง่ายและรวดเร็วมากสำหรับชีสเค้ก เพียงแต่ต้องอดทนรอสักนิดเพื่อจะได้กินของอร่อย
แต่ก็คุ้มค่าของอร่อยล่ะครับ แต่คงไม่ทำกันบ่อยๆ เพราะนอกจากส่วนผสมจะแพงแล้ว อีกเรื่องก็คือ “อ้วน” ^^”

สัปดาห์นี้ก็อร่อยกับชีสเค้กกัน แล้วครั้งหน้าจะมาพร้อมเมนูใหม่ๆครับ สวัสดีครับ

My Pastry Journey #10: Betty’s Chocolate Cake With Frosting

ลงไว้ในเฟสบุ๊กว่าจะมาลงสูตรให้ดูกลางสัปดาห์ ปรากฎว่าก็เลื่อนมาสุดสัปดาห์ตามเคย
คือ ที่จริงก็เคยทำเค้กช็อกโกแลตมาให้ดูกันแล้ว ถ้าใครจะได้เคยผ่านมาชมสูตรกันที่นี่
แต่ในความรู้สึกก็คือ ยังไม่พอใจกับผลงานที่ทำได้ ก็เลยอยากจะลองสูตรใหม่อีกครั้ง
เลยไปศึกษามาเอาให้ดียิ่งกว่าเดิม จนได้สูตรเค้กช็อกโกแลตใหม่มาตามชื่อนี่แหละครับ

Betty’s Chocolate Cake With Frosting ครั้งนี้ก็ได้สูตรมาจากคุณเบ๊ตตี้ครับ
ซึ่งคุณเบ๊ตตี้นี่ ก็เป็นคนทำขนมชื่อดังทางยูทูบ ซึ่งมีทั้งหนังสือและรายการของตัวเองด้วย
ซึ่งผมดูมาหลายคน คุณเบ๊ตตี้จะอธิบายและทำได้เข้าใจง่ายที่สุด แบบคนไม่เคยทำก็ทำเป็น
เรามาดูวิธีทำกันก่อน แล้วเดี๋ยวจะลงวีดีโอวิธีทำต้นฉบับของคุณเบ๊ตตี้ไว้ท้ายเรื่องนะครับ

Photobucket

มาดูกันก่อนว่าเราต้องเตรียมอะไรกันบ้าง

ซอสช็อกโกแลต
น้ำร้อน 1 ถ้วย
ผงโกโก้ 3/4 ถ้วย + 2 ช้อนโต๊ะ
เนยสด 2 ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสมทำเค้ก
(1) น้ำตาล 2 ถ้วย
(1) แป้งสาลี 2 ถ้วย
(1) ผงฟู 3 ช้อนชา
(1) เกลือ 1 ช้อนชา
(2) เนยสด 1/2 ถ้วย (นิ่ม)
(3) ไข่ไก่ 2 ฟอง
(3) โยเกิร์ต 1 ถ้วยขาย (ขนาดถ้วยโยเกิร์ตที่เรากินกันเลย)
(3) วานิลลา 1 ช้อนชา

Photobucket

เรามาเริ่มขั้นตอนการทำสูตรคุณ Betty กันเลย

เริ่มแรกให้ทำซอสช็อกโกแลตก่อน ให้เราเตรียมน้ำร้อนไว้ แล้วก็ร่อนผงโกโก้ลงไป
ตามด้วยเนยสดลงไปพร้อมกัน คนให้ทั่วจนผงโกโก้และเนยละลายหมด เราก็ได้ซอสแล้ว

Photobucket

ขั้นตอนต่อไป…

– เอาเบอร์ (1) คือ น้ำตาล แป้งสาลี ผงฟู เกลือ มาร่อนเข้ากันแล้วพักไว้
– เสร็จแล้วก็เอาซอสช็อกโกแลตที่ทำไว้มาเทลงในแป้งที่ร่อนไว้ พร้อมกับเบอร์ (2) เนยสด
– แล้วตีด้วยเครื่องสปีดเบอร์ 1 ต่ำสุด ตีให้เข้ากัน ใช้เวลาไม่นานครับ ไม่เกินนาทีก็เข้ากันแล้ว

Photobucket

จากนั้น…

– เอาเบอร์ (3) คือ ไข่ไก่ โยเกิร์ต วานิลลา เทตามลงไปพร้อมกันหมด
– แล้วก็ตีด้วยเครื่องสปีดเบอร์ 1 ต่ำสุดเช่นเคย ตีไป 2 นาทีจนได้ส่วนผสมข้นตามรูป

Photobucket

หลังจากนั้น…

– เตรียมแม่พิมพ์เค้กขนาด 2 ปอนด์ 2 พิมพ์ ปูกระดาษไขและทาเนยให้เรียบร้อย เทส่วนผสมลงไป
– แล้วก็อบที่อุณหภูมิ 176 C ประมาณ 25-30 นาที หรือจนกว่าจะไม่มีเศษเค้กติดขึ้นมาเป็นใช้ได้
– เวลาอบก็อบไฟล่างสักประมาณ 20 นาที เวลาที่เหลือก็ปรับไปที่ไฟบนนะครับ

เท่านี้เราก็จะได้ตัวเค้กแล้ว แต่เที่ยวนี้ที่ทำ ตัวผมเองก็ดันทำพลาดไปพิมพ์นึงเพราะไม่คนส่วนผสมให้ดี
แถมไปปรับไฟต่ำกว่าสูตรอีก เพราะคิดว่าเตาตัวเองร้อนไป เค้กเลยสุกไม่ทั่ว เลยต้องโยนทิ้งไปฟรีๆ
ดีที่ยังเหลืออีกพิมพ์นึง ก็เลยยังมีเค้กให้กินอยู่ ไม่งั้นขายหน้าแย่ อุตส่าห์ทำตามสูตรคุณเบ๊ตตี้แล้ว ^^”

Photobucket

หลังได้เค้กเสร็จ เราก็มาทำหน้าฟรอสติ้งกันครับ

สำหรับหน้าฟรอสติ้ง สิ่งที่ต้องเตรียมก็มี
ช็อกโกแลตละลาย 2 ออนซ์
เนยสด 3 ช้อนโต๊ะ (นิ่ม)
น้ำตาลไอซิ่ง 1 1/2 ถ้วย
นมสด 3 ช้อนโต๊ะ
วานิลลา 2 ช้อนชา

การทำหน้าฟรอสติ้ง มีขั้นตอนเพียงเล็กน้อย
– เริ่มจากเอาเนยกับช็อกโกแลต มีตีผสมให้เข้ากันก่อน ใช้สปีดเบอร์ 1 ครับ
– จากนั้น ใส่น้ำตาลไอซิ่ง นมสด วานิลลา ลงไปพร้อมกัน
– ตีที่สปีดเบอร์ 1 ให้เข้ากันก่อน แล้วเพิ่มเป็นสปีดกลางเบอร์ 4 ตีไปประมาณ 2 นาที

เท่านี้เราก็จะได้ฟรอสติ้งไว้ทาหน้าเค้กแล้ว ตามที่เค้าบอกมา ถ้ายังไม่เข้มข้นพอให้ใส่น้ำตาลไอซิ่งเพิ่ม
แล้วที่ได้ยินมาอีกวิธีคือ ใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ เพื่อใฟ้ฟรอสติ้งอยู่ตัว ก็ต้องลองกันดูนะครับ

นี่ก็เป็นวีดีโอ Chocolate Cake ของคุณ Betty นะครับผม

ตามส่วนผสมที่คุณเบ๊ตตี้ทำอาจจะมีบางอย่างที่ไม่ตรงกับสูตรที่ผมลง อย่างโยเกิร์ตเป็นต้น
เพราะคุณเบ๊ตตี้ใช้ Buttermilk แต่บัตเตอร์มิลค์ใช้โยเกิร์ตแทนกันได้ครับ อันนี้มีคนบอกมา
แล้วก็คุณเบ๊ตตี้ทำ Frosting 2 แบบเลย และในนี้ไม่ได้มีบอกสูตรฟรอสติ้งไว้ ผมไปดูอีกวีดีโอนึงมาครับ

ก็ใครฟังภาษาอังกฤษคล่องก็แนะนำครับผม ช่อง Betty’s Kitchen ยังมีสูตรขนมน่าทำน่าทานอีกเยอะครับ ^^

Photobucket

หลังจากทาหน้าเค้กแล้ว เราก็ได้แล้วครับ Chocolate Cake สูตรคุณเบ๊ตตี้ครับผม

หน้าตาอาจจะไม่ได้ใกล้ของคุณเบ๊ตตี้เท่าไหร่ เพราะเสียเค้กไปหนึ่งพิมพ์ด้วย แต่ขอบอกว่าเค้กนิ่มมากครับ
แล้วก็ผมทาฟรอสติ้งบาง เพราะที่บ้านไม่ค่อยชอบกินฟรอสติ้งกัน แต่กินกับฟรอสติ้งก็ยิ่งอร่อยครับ
แช่ไว้ในตู้เย็นได้นาน แค่คลุมเค้กไว้ดีๆก็พอครับ เค้กยังนิ่มกินไปได้เป็นสัปดาห์เลย (ถ้าไม่อยากรีบกินนะ อิอิ)

สัปดาห์นี้ไม่ได้ทำขนมเมนูใหม่ ก็ลองขนมสูตรคุณเบ๊ตตี้กันนะครับ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าครับ

My Pastry Journey #9: Orange Cake

เว้นทำขนมไปสัปดาห์นึงเนื่องจากมีภารกิจครอบครัว บล็อกเรื่องอะไรก็ไม่ได้เขียนเลย
มาสัปดาห์นี้กลับมาทำขนมอีกครั้ง แล้วก็ไปศึกษาการทำเพิ่มเติม เพราะรู้สึกว่ายังมีอะไรที่ทำพลาดอยู่
แล้วก็เป็นโอกาสดีด้วยว่า เป็นสัปดาห์ปีใหม่ไทย แล้ววันเกิดคุณพ่อก็วันนี้พอดีซะด้วย ^^
เลยหาสูตรทำเค้กที่คุณพ่อบอกอยากกินมาทำ วันนี้ก็เลยทำเค้กส้ม Orange Cake ครับ

Photobucket

สูตรเค้กส้มก็หาจากเพื่อนๆที่ทำขนมเก่งๆในพันทิปมานี่แหละครับผม…

เริ่มจากส่วนผสมทำตัวเค้กก่อน
ไข่ไก่ 5 ฟอง
น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
แป้งเค้ก 1 ถ้วย
ผงฟู 1 ช้อนชา
นมสด 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มคั้น 2 ช้อนโต๊ะ (ผมไม่อยากคั้นเลยเอาน้ำส้มในกระป๋องไปเลย)
เนยสดละลาย 1/4 ถ้วย
วานิลลา 1 ช้อนชา

Photobucket

เรามาเริ่มขั้นตอนการทำเลยดีกว่า…

1. เอาไข่มาตีกับน้ำตาล โดยตีไข่ก่อนให้ขึ้นฟองฟูแล้วค่อยเติมน้ำตาลไปทีละช้อนโต๊ะจนข้นขาว
2. เสร็จแล้วก็เอาแป้งและผงฟูมาร่อนแล้วเติมตามลงไป
3. จากนั้นก็เติมนมสด น้ำส้มคั้น และวานิลลาตามลงไป
4. ปิดท้ายด้วยเนยละลายผสมลงไปให้เข้ากันพอดี

Photobucket

สำหรับการตีไข่นั้น เวลาตีก่อนจะเติมน้ำตาล ให้ตีด้วยความเร็วปานกลางก่อนจนขึ้นฟองเล็กๆทั่วแล้ว
พอถึงเวลาเติมน้ำตาลให้ตีด้วยความเร็วสูง จนน้ำตาลหมด เอาช้อนตักดูเราจะได้ส่วนผสมข้นๆ
อันนี้ก็ศึกษามาจากเพื่อนที่ทำขนมนี่แหละครับ ปกติงมโข่งตีไปเรื่อยไม่รู้เรื่องรู้ราว (แต่ก็ยังกินอร่อยนะ) ^^”

ส่วนเวลาใส่พวกแป้งและนมสด น้ำส้มคั้น เขาบอกว่าให้ลดความเร็วลงมาปานกลาง
เพราะเราต้องการผสมให้เข้ากัน ไม่ได้ทำให้ขึ้นฟู อันนี้ก็ยังงงๆตอนทำเหมือนกันว่าจะตีเร็วหรือลดลงดี
เลยตีเร็วไป ซึ่งไม่ใช่อ่ะครับ เพราะส่วนผสมจะเหลว ไม่ข้นกำลังดี เกือบกลับตัวไม่ทันเหมือนกันแน่ะ ^^”

Photobucket

เสร็จแล้วก็เอาเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 190 C ที่ 20-30 นาที
โดยที่ใช้ไฟล่างประมาณ 20-23 นาทีก่อน แล้วเวลาที่เหลือให้ใช้ไฟบน หน้าเค้กจะได้เรียบไม่แตก

เรื่องเตาอบนี้ เที่ยวนี้ก็แอบพลาดครับ เพราะระหว่างอบมันฟูเร็วไปแล้วหน้าก็ยุบลง
ยังดีที่ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ เลยไปหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าทำไม ก็ปรากฎว่าเป็นเพราะเตาร้อนเกินไป
และส่วนผสมอาจเหลวไป (นั่นแน่ะ) ตามที่บอกกันคือ เราควรลดอุณหภูมิจากสูตร 10-20 องศา
ทั้งนี้ก็ขึ้นกับเตาด้วยนะครับ ก็ต้องจับไต๋เตาอบของเราเอง อย่างเตาของผมนี้ร้อนไปอ่ะ ^^”

Photobucket

เอาล่ะ เรามาทำแยมส้มทาหน้ากันได้แล้วครับ…

น้ำ 1 1/2 ถ้วย
น้ำส้มเข้มข้น (ซันควิส) 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มคั้น 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย
แป้งข้าวโพด 1/4 ถ้วย
เนยสด 20 กรัม

ขั้นตอนการทำก็ง่ายๆครับ
1. เอาส่วนผสมทุกอย่างยกเว้นเนยลงหม้อ แล้วอุ่นไฟกลาง กวนจนข้น (กวนเร็วๆได้เลยนะครับ)
2. พอส่วนผสมข้นแล้ว ให้เอาเนยใส่ตามลงไปผสมให้เข้ากัน แล้วก็ยกหม้อลง ได้แยมส้มไปราดแล้ว

รูปข้างบน จะเห็นว่าหน้าเค้กมียุบๆ ผมก็เลยเอาแยมส้มราดปิดซะเลย แล้วก็แต่งหน้าหลอกเด็กหน่อย (อิอิ)
ก็ไม่เลวอ่ะ แต่ต้องฝึกแต่งหน้าเค้กอีก เพราะปาดเท่าไหร่ก็ไม่สวย (รู้สึกว่าตัวเองปาดหน้าเค้กไม่เอาไหนเลย)

Photobucket

เอาล่ะครับ ได้แล้ว…Orange Cake ให้คุณพ่อเป็นเค้กวันเกิด ^__^

ขอบอกว่าเค้กนุ่มมาก (ความพอใจสูงสุดในการทำเที่ยวนี้ อิอิ) XD
ถ้าไม่นับหน้าเค้กยุบกับปาดแยมไม่เอาไหน ก็ถือว่าทำเค้กส้มเที่ยวนี้ก็ออกมาไม่เลว กินได้แล้วกัน
แต่รสชาติก็อร่อยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าแค่กินได้เหรอ (เอาเป็นว่าพ่อชมล่ะ ไม่ได้แค่ชมเพราะลูกทำด้วยนะ) ^^
แค่ต้องไปปรับปรุงการผสมและการอบนิดหน่อยคราวหน้า ก็ต้องศึกษากันต่อไปครับ

สัปดาห์นี้ก็อร่อยกับเค้กส้ม Orange Cake แล้วคราวหน้าจะเอาเมนูขนมอร่อยๆมาฝากกันต่อไปครับ

My Pastry Journey #8: Chocolate Cookie

ทำแต่พายๆเค้กมาหลายสัปดาห์ จนเกือบจะลืมละว่าขนมไม่ได้มีแค่นี้
หันไปเปิดตู้เก็บส่วนผสมและอุปกรณ์ทำเค้ก เห็นช็อกโกแลตยังเหลืออยู่ จะทำอะไรดีน้อ
นึกไปนึกมา ก็คิดได้ว่าไม่เคยทำคุ้กกี้มานานม๊ากกกกก ก็เลยไปนั่งหาสูตรจากตำรามา
ก็เอากันดื้อๆอย่างนี้เลยก็แล้วกัน Chocolate Cookie นี่แหละ ^^

Photobucket

เราต้องเตรียมอะไรบ้างน้าจะทำคุ้กกี้ช็อกโกแลตเนี่ย…

(1) น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
(1) เนยเค็ม 1/2 ถ้วย
(1) ไข่ใบใหญ่ 1 ฟอง
(1) ช็อกโกแลตละลาย 2 ออนซ์
(1) โยเกิร์ต 1/3 ถ้วย (หรือน้ำก็ได้)
(1) วานิลลา 1 ช้อนชา
(2) แป้งสาลี 1 3/4 ถ้วย
(2) ผงฟู 1/2 ช้อนชา
(2) เกลือ 1/2 ช้อนชา
(3) ถั่วบดหยาบ 1 ถ้วย (หรือตามแต่จะชอบ)

Photobucket

เอาล่ะ มาเริ่มทำกันได้แล้ว…

1. เอาเบอร์ (1) คือ น้ำตาลทราย เนยเค็ม ไข่ ช็อกโกแลต โยเกิร์ต วานิลลา มาตีผสมด้วยสปีดกลาง
2. เอาเบอร์ (2) คือ แป้งสาลี ผงฟู เกลือ ร่อนก่อนครั้งนึง แล้วเอามาผสมลงกับส่วนผสมเบอร์ (1)
3. เสร็จแล้วก็เอา ถั่วบดหยาบ มาโรยให้ทั่วผสมเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกัน

Photobucket

4. หยอดส่วนผสมคุ้กกี้บนถาด หยอดให้ห่างกันประมาณ 2 นิ้ว เผื่อที่คุ้กกี้พองตัว
(ผมมีแต่กระดาษไข กำลังคิดว่าพวกแผ่นซิลิโคนน่าจะใช้ได้)
5. เตรียมเตาอบที่ 205 องศา แล้วนำคุ้กกี้เข้าอบไฟบน-ล่าง 8-10 นาที ก็เรียบร้อยแล้ว ^^

Photobucket

ที่จริงขั้นตอนการทำคุ้กกี้มันสั้นมากและเร็วมาก (มิน่าเห็นทำขายเอาๆ) จนลืมไปว่าเค้กกับคุ้กกี้ไม่เหมือนกัน
ไอ้เราทีแรกพออบเสร็จ 10 นาที ลองแตะๆดู เอ๊ะ…ทำไมมันนิ่มๆ ไม่เป็นคุ้กกี้เลย ก็เลยเอาไปอบต่อ
ซื่อบื้ออ่ะครับ (^^”) เค้าให้อบแค่ 10 นาที แล้วทิ้งไว้ให้เย็นสักพัก มันก็เป็นคุ้กกี้กรอบอร่อยแล้ว

แถมสองถาดแรก อยากได้คุ้กกี้ใหญ่มากก็เลยหยอดซะเบ้อเริ่ม ลืมเผื่อที่ให้คุ้กกี้พองตัว
เกือบได้แพคุ้กกี้มากินแทนแล้ว ยังดีมีให้แก้ตัวถาดที่สาม เลยหยอดให้พอดีคำหน่อย ป๊องชะมัดเรา ^^”

Photobucket

ได้แล้วล่ะครับ Chocolate Cookie ทำครั้งแรกของผม…

รู้สึกว่าช็อกโกแลตมันไม่ค่อยเข้มข้นเท่าไหร่ อยากได้แบบ Dark Chocolate มากกว่านี้
แต่ตัวคุ้กกี้ก็กรอบอร่อยดีครับ แต่คิดไปคิดมา อยากได้แบบคุ้กกี้นุ่มๆด้วย เคยกินที่ Subway ชอบมาก
เดี๋ยวคงต้องหาสูตรจากเพื่อนๆเก่งๆแถวนี้หน่อย แต่ถ้าใครชอบกรอบๆ สูตรนี้ก็ใช้ได้เลยนะครับ ^^

สัปดาห์นี้อร่อยกับคุ้กกี้ช็อกโกแลต แล้วคราวหน้าจะมาพร้อมขนมเมนูใหม่ต่อไปครับผม…

My Pastry Journey #7: Chocolate Cake

สัปดาห์ที่แล้วจะทำเค้กวิปปิ้งครีมไม่ประสบความสำเร็จ เลยอดเอาเมนูใหม่มาให้ดู
แต่สัปดาห์นี้ก็ยังไม่เข็ดของยาก (สำหรับผม) ก็จะลองเมนูช็อกโกแลตที่ไม่เคยทำได้สำเร็จ
แต่ถ้าไม่ลองทำแล้วจะทำได้ยังไง วันนี้ก็เลยลองทำ Chocolate Cake ครับ

มาดูกันว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง…
(1) แป้งสาลี 2 ถ้วย
(1) ผงฟู 2 ช้อนชา
(1) เกลือ 1/2 ช้อนชา
(2) ไข่ 2 ฟอง
(2) น้ำตาล 1 1/2 ถ้วย
(2) น้ำ 3/4 ถ้วย
เนยขาว 1/2 ถ้วย
โยเกิร์ต 3/4 ถ้วย
ช็อกโกแลตละลาย 4 ออนซ์

มาเริ่มขั้นตอนการทำกันดีกว่าครับ
1. เริ่มเอาเบอร์ (1) คือ แป้ง เกลือ ผงฟู มาร่อนเข้าด้วยกันก่อนแล้วพักไว้
2. เอาเบอร์ (2) คือ ไข่ น้ำตาล น้ำ มาตีสปีดความเร็วกลาง โดยใส่ไข่และน้ำลงในโถ
เติมน้ำตาลลงไปทีละ 2-3 ช้อนโต๊ะ จนไข่ขึ้นฟู แล้วตามด้วยเนยขาวตามลงไป
3. เอาช็อกโกแลต ไปเข้าไมโครเวฟละลาย (ของผมใช้ความร้อน 800W) 1 นาที
4. เอาแป้งที่ร่อนพักไว้ มาตีผสมกับส่วนผสมไข่ ช็อกโกแลตและโยเกิร์ตพร้อมกัน สปีดต่ำจนเข้ากันหมด

ตามรูปข้างบนก็เป็นการละลายช็อกโกแลตครับผม เอาช็อกโกแลตไปชั่งก่อน
แล้วก็เอาไปเข้าไมโครเวฟ แค่นาทีเดียวก็ลองคนๆดูได้แล้วล่ะครับ ละลายชัวร์ ^^

จากนั้นก็เอามาเทลงพิมพ์เค้กขนาด 2 ปอนด์ 2 พิมพ์ (อย่าเทพิมพ์เดียว เพราะเดี๋ยวจะล้นครับ)
แล้วก็ไปอุ่นเตาอบที่ 177 C สัก 10 นาที ก่อนจะเอาส่วนผสมเข้าอบ 30-35 นาที
หรือจนเราเอาไม้จิ้มฟันจิ้มไปตรงกลางแล้วไม่มีเศษเค้กติดมาก็เป็นอันใช้ได้ครับ
ใครเตาอบใหญ่ก็เอาเข้าพร้อมกัน 2 พิมพ์เลย แต่ถ้าใหญ่ไม่พอ ก็เอาเข้าทีละพิมพ์ครับ ^^

เท่านี้เราก็ได้ตัวเค้กช็อกโกแลตแล้ว…
และแล้ว ก็มาส่วนที่ยากสำหรับผมแล้วครับ อ๊ากกก…(สัปดาห์ที่แล้วพังก็หน้าเค้กนี่แหละ)

สำหรับช็อกโกแลตฟรอสติ้ง มีของที่ต้องเตรียมตามนี้…
น้ำตาลทราย 2 ถ้วย (ถ้าไม่อยากได้หวานมากก็ลดน้ำตาลลงได้ครับ)
เนยขาว 1/2 ถ้วย
นม 2/3 ถ้วย
เกลือ 1/2 ช้อนชา
ช็อกโกแลตละลาย 3 ออนซ์
วานิลลา 2 ช้อนชา

ขั้นตอนการทำก็ไม่ยาวครับ…
1. เอาส่วนผสมทุกอย่างลงหม้ออุ่นที่ไฟต่ำ ยกเว้นวานิลลา อุ่นจนเดือด
2. ให้หม้อเย็นสักหน่อย แล้วเอาหม้อวางลงในชามน้ำแข็งหรือน้ำเย็น
เอาตะกร้อตีจนข้นหนืด แล้วเติมวานิลลาผสมลงไปให้เข้ากัน

ตามสูตรที่เห็นรูปมา เค้าทำดูเป็นครีมเลย ก็สารภาพว่าตีตั้งนานก็หนืดดีแต่ไม่ครีมซักที
ก็เลยคิดว่าก็คงเป็นฟรอสติ้งตามชื่อล่ะมั้ง พอตีหนืดๆเสร็จเลยไม่กล้าตีต่อกลัวตีนานไป
ก็เลยใส่เข้าตู้เย็นมันซะเลย แหะๆ (วีคที่แล้วตีวิปครีมนานเกิน เหลวหมดไม่เป็นครีม เซ็งเลย)

พอตัวเค้กเย็น เราก็เอาฟรอสติ้งมาราดแล้วทาให้ทั่วเค้ก ทาชั้นแรกก่อน แล้วก็เอาเค้กซ้อน
แล้วก็ราดฟรอสติ้งทาอีกชั้น (วีคนี้ไม่เหลวแล้วครับ เย้ \^o^/) เราก็ได้เค้กช็อกโกแลตแล้ว

เอาล่ะครับ รอดมาจนจบจนได้ เค้กช็อกโกแลต (แต่งหน้าด้วยสตราเบอร์รี่สักนิดนึง) ^^

ก็ถือว่า Mission Accomplished ไปได้อย่างเฉียดฉิว เพราะกลัวที่สุดก็ตัวฟรอสติ้งนี่แหละครับ
อย่างน้อยก็เอาสูตรมาให้เพื่อนๆได้ลองทำกันได้ ที่จริงก็ศึกษาจากคนทำขนมเก่งๆแถวนี้แหละครับ

สัปดาห์นี้อร่อยกับเค้กช็อกโกแลตกันครับ แล้วคราวหน้าจะหาขนมเมนูใหม่มาทำให้ทานต่อครับ…

My Pastry Journey #6: Apple Tart

กลับมาพบกับ My Pastry Journey กันอีกสัปดาห์แล้ว วันนี้ก็มากับเมนูผลไม้โปรดอีกแล้วครับ
นั่นก็คือ “แอปเปิ้ล” นั่นเอง ซึ่งเป็นผลไม้ชนิดแรกที่ทำให้ผมคิดอยากจะทำขนมกินนี่ล่ะครับ
(ก็ไปอ่านเรื่องราวจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มทำขนมได้ที่นี่ My Pastry Journey กันได้นะครับ)

แต่วันนี้ ไม่ได้มาทำเมนู “พายแอปเปิ้ล” ครับ แต่เป็นอีกเมนูที่ชื่นชอบเหมือนกัน
เพราะเคยซื้อกินที่ร้าน Bake A Wish (คนเราก็มักจะชอบอะไรจากการไปซื้อมากินก่อนอ่ะเนอะ) ^^”
ก็เลยคิดอยากจะลองทำเองบ้าง เผื่อจะอร่อยเท่าของเค้า เคยทำแต่พายแต่ไม่เคยทำ “ทาร์ต”
วันนี้ก็เลยลองทำมันครั้งแรกซะเลย (จะรอดไหมเนี่ย) กับเมนู Apple Tart ครับ

Photobucket

ต้องเตรียมอะไรกันก่อน…

เมนูทาร์ตมีทั้งหมดอยู่ 3 ขั้นตอน และของที่ต้องเตรียมก็ตามรูปข้างบนเลยครับ

แป้งครัสต์
เนยสด 1/2 ถ้วย (เนยต้องนิ่ม)
น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
ไข่ไก่ (เบอร์ 0) 1 ฟอง
แป้งสาลี 1 1/2 ถ้วย
เกลือ 1/8 ช้อนชา

ทาร์ต
แอปเปิ้ล 4-6 ลูก (ถ้าอยากได้ชั้นเยอะๆก็ 6 ลูกครับ)
เนยสด 3 ช้อนโต๊ะ (เนยต้องนิ่ม)
น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
น้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา
ซินามอน 1/2 ช้อนชา

เกลซ (สำหรับทาปิดหน้า)
แยมแอปริคอต 1/2 ถ้วย
น้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะ (หรือเหล้ารัม คอนยัค แล้วแต่ชอบ)

Photobucket

มาเริ่มทำทาร์ตแอปเปิ้ลกันเลย…

ขั้นแรกเริ่มกันที่แป้งครัสต์ก่อนครับ
1. เอาแป้งและเกลือมาร่อนก่อนซักทีนึง ทำเป็นหลุมตรงกลาง แล้วพักแป้งไว้ก่อน
2. จากนั้นเอาเนยมาตีให้นิ่ม แล้วใส่น้ำตาลลงไปทีละ 2 ช้อนโต๊ะ ตีจนเนยขึ้นฟูดูนุ่มๆ
3. จากนั้นใส่ไข่ตามลงไป ตีแค่พอเข้ากันเท่านั้นก็พอครับ อย่าตีนานเกินไป
3. หลังจากนั้นก็เอาส่วนผสมตรงนี้ ไปใส่กลางหลุมแป้งที่เราพักไว้ แล้วปั้นให้เป็นก้อนครับ

Photobucket

พอได้แป้งครัสต์เป็นก้อนกลมๆแล้ว ก็เอามาแผ่ออกให้ได้ความกว้างของถาดพาย
ถาดพายที่ต้องเตรียม ความกว้างประมาณ 9 นิ้วนะครับ จะเป็นถาดแก้วหรือถาดอลูมิเนียมก็ได้

พอแผ่แป้งได้ประมาณความกว้างถาดพายแล้วก็ม้วนแป้งเข้ากับไม้พาย จะได้ไปแผ่ลงถาดพายได้ง่าย
แล้วก็เอาแป้งไปแผ่ลงบนถาดพาย จัดระเบียบแป้งครัสต์ให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็เอาไปแช่เย็น
แช่ประมาณ 15-20 นาที แป้งจะได้จับตัวดี อ้อ เอาส้อมจิ้มรูบนแป้งด้วยครับ เวลาอบแป้งจะได้ไม่โป่ง
แล้วจากนั้นก็เอาไปอบที่ 205 C ประมาณ 20-25 นาที เราก็จะได้แป้งครัสต์แล้ว

Photobucket

เสร็จจากแป้งครัสต์ เราก็มาทำตัวทาร์ต

1. ปอกแอปเปิ้ลไว้ 2 ชาม ชามละ 2-3 ลูก โดยปอกแอปเปิ้ลหั่นเป็นแว่นๆ เวลาเรียงจะได้สวยๆ
2. จากนั้นเอากระทะแบนตั้งไฟ แล้วใส่เนยลงไป 1 ช้อนโต๊ะ ให้ละลายก่อน
3. แล้วตามด้วยน้ำตาลครึ่งหนึ่งของที่เตรียมไว้ น้ำมะนาว และซินามอนก็เช่นกัน
4. ใส่แอปเปิ้ลชามแรกลงไปในกระทะ ประมาณ 7-10 นาทีให้แอปเปิ้ลนิ่ม แล้วยกออก
5. ทำขั้นตอน 2-4 กับแอปเปิ้ลชามที่ 2 แบบเดียวกันอีกครั้ง

ที่ทำแยก 2 ชามก็ไม่ใช่อะไรครับ เพราะใส่แอปเปิ้ลทีเดียวมันจะเยอะไปหน่อย ความร้อนจะไม่ทั่วถึง
แล้วก็แอปเปิ้ลก็อาจจะซึมรสชาติเนย น้ำตาล ซินามอนไม่ทั่วถึง ก็เลยต้องทำแบบนี้ล่ะครับ ^^

Photobucket

จากนั้นก็เอาแอปเปิ้ลมาเรียงให้เป็นวงสวยๆ บนแป้งครัสต์ที่เราทำไว้แล้ว
จากรูปข้างบน รูปแรกเป็นขั้นตอนอบแป้งครัสต์นะครับ ยังไม่ได้ใส่แอปเปิ้ลลงไป ^^”

ก็อย่างที่บอกไปในขั้นตอนเตรียมว่า ถ้าอยากได้ชั้นเยอะๆก็ปอกแอปเปิ้ลเยอะๆ
อย่างที่ผมทำเที่ยวนี้ ใช้แอปเปิ้ลแค่ 4 ลูก เพราะปอกไปปอกมาล้นชามเลยกลัวจะล้นถาดด้วย
แต่เอาเข้าจริงไม่ล้นหรอกครับ เพราะฉะนั้น อยากได้ชั้นเยอะๆก็ปอกไปเลยเต็มที่ไม่ต้องยั้ง ^__^

Photobucket

เรียงแอปเปิ้ลเสร็จแล้วก็เอาเข้าเตาอบได้…
ก่อนอบ เอาฟลอยหุ้มถาดไว้ซะหน่อยก็จะดีครับผม เดี๋ยวแป้งจะไหม้เกินไป (สูตรเขาว่ามาอย่างนั้น)
แล้วก็อบที่อุณหภูมิ 177 C ประมาณ 25-30 นาที จนได้แอปเปิ้ลสีเหลืองสวยก็เป็นอันเสร็จครับ

อ๊ะ…แต่เดี๋ยวก่อน ลืมอะไรไปรึเปล่าเนี่ย ทำไมอบเสร็จออกมาแล้วมันดูแห้งๆจัง
ใช่แล้วครับ พออบเสร็จ หน้าตาทาร์ตแอปเปิ้ลของเราจะดูแห้งๆไม่ค่อยจะน่ากินเหมือนที่ซื้อกินเลย ^^”
นั่นเราถึงต้องมีการทาหน้าเกลซปิดท้ายให้ดูสวยๆไงล่ะครับ เกลซมาได้แล้ว…

Photobucket

ขั้นตอนการทำเกลซก็ไม่ค่อยยุ่งยากครับ…

1. เอาแยมแอปริคอตไปตั้งไฟแล้วต้มให้เดือด
2. จากนั้นผสมน้ำ 1 ช้อนโต๊ะลงไป คนๆให้กลายเป็นเหมือนน้ำเชื่อม

จากนั้นเราก็เอาหน้าเกลซแอปริคอตมาไปทาหน้าแอปเปิ้ลทาร์ตของเรา ทาให้ชุ่มฉ่ำไปเลย ^__^
ทีแรกผมก็สงสัยว่าทำไมต้องเลือกแอปริคอต พอลองทำเลยรู้ว่า รสชาติมันไม่แรงและใกล้ๆกลิ่นแอปเปิ้ล
ก็เลยเหมาะจะเอามาทาหน้า พอทาเสร็จเราก็ได้แล้วล่ะครับ แอปเปิ้ลทาร์ตของเรา…

Photobucket

ได้แล้วครับ Apple Tart ถาดแรกของผม ฮิฮิ ^__^

หน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้เนอะ เสียดายชั้นน้อยไป น่าจะปอกแอปเปิ้ลให้เยอะกว่านี้ เรียงก็ยังไม่สวย ^^”
ส่วนรสชาติก็หวานๆเปรี้ยวๆกำลังดีครับ ใครชอบหวานก็เพิ่มน้ำตาลตอนช่วงทำตัวทาร์ตได้นะครับ
ส่วนตัวแป้งครัสต์ สูตรนี้ไม่เลว คราวหน้าว่าจะเพิ่มน้ำตาลอีกหน่อย รู้สึกยังไม่หวานโดนใจเท่าไหร่

แล้วคราวหน้าจะมากับเมนูใหม่ต่อไป สัปดาห์นี้ก็อร่อยกับแอปเปิ้ลทาร์ตนะครับ สวัสดีครับ ^__^

My Pastry Journey #5: Blueberry Cake

กลับมาพบกันเช่นเคยอีกสัปดาห์แล้วกับ My Pastry Journey ที่จะมาทำขนมให้เพื่อนๆได้ลองทานกัน
สำหรับขนม 4 เมนูที่ผ่านไปเดือนที่แล้วเป็นอะไรบ้างก็คลิกดูที่หมวด My Pastry Journey ได้นะครับ

ในสัปดาห์นี้ ทีแรกว่าจะลองหาเมนูที่ต่างออกไปจากสัปดาห์ก่อนๆ ที่ยังอยู่กับเค้กและพาย
แต่ว่าบลูเบอร์รี่ที่ซื้อมายังเหลืออีกตั้งกล่อง ก็เลยลองค้นหาสูตรที่จะทำอะไรกับบลูเบอร์รี่ได้บ้าง
พอนั่งคิดไปคิดมา เห็นพ่อต้องมีอะไรทานกับกาแฟทุกเช้า แล้วก็ไปเจอสูตรคอฟฟี่เค้กสูตรนึงพอดี
ก็เลยได้เวลาผลาญบลูเบอร์รี่ให้หมด เมนูวันนี้ที่จะมาทำก็เลยเป็น Blueberry Cake เค้กอยู่ดีครับ ^^”

Photobucket

มาดูกันว่าเราต้องเตรียมอะไีกันบ้าง…

(1) แป้งสาลี 1 ถ้วย
(1) ผงฟู 1 1/4 ช้อนชา
(1) เกลือ 1/3 ช้อนชา
(2) เนยขาว 1/8 ถ้วย
(2) นม 1/3 ถ้วย
(2) ไข่ 1 ฟอง (ประมาณเบอร์ 1)
(2) น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย
(3) บลูเบอร์รี่สด 1 ถ้วย

สำหรับตามสูตรนี้เราจะได้ เค้กบลูเบอร์รี่ 1 ปอนด์ นะครับผม ก็เตรียมพิมพ์เค้กไว้เลย

Photobucket

จะทำเค้กเปล่าๆ เดี๋ยวก็หาว่าวนเวียนอยู่กับเมนูเดิมๆ วันนี้ก็เลยมีอะไรใหม่ครับ
เพราะผมยังไม่เคยทำหน้าครัมบ์กับเค้า เคยแต่ได้ยินๆว่าโรยน้ำตาลๆก็ได้แล้ว ก็เลยไปหาสูตรให้ชัวร์
วันนี้ก็เลยมีสูตรทำทั้งหน้าครัมบ์ และหน้าเกลซเป็นซอสราดหน้าเค้กด้วยครับ

ของที่ต้องเตรียมทำหน้าครัมบ์
น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
แป้งสาลี 1/6 ถ้วย
เนยสด 1/8 ถ้วย (เนยต้องนิ่ม)
ผงซินามอน 1/4 ช้อนชา

ส่วนของที่ต้องเตรียมทำหน้าเกลซ
น้ำตาลไอซิ่ง 1/4 ถ้วย
วานิลลา 1/4 ช้อนชา
น้ำร้อน 1 ช้อนชา ถึง 1 1/2 ช้อนชา

Photobucket

เรามาเริ่มขั้นตอนการทำดีกว่า…

ขั้นแรกให้เอาเบอร์ (1) คือ แป้งสาลี ผงฟู เกลือ มาร่อนแล้วพักไว้ก่อนนะครับ
หลังจากนั้นก็เตรียมเบอร์ (2) คือ เนยขาว นม ไข่ ใส่พร้อมกันไปทีเดียวเลย
แยกน้ำตาลทรายไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวเราจะใส่ตามลงไป ยังไม่ต้องใส่ไปพร้อมกับเนยขาว นม ไข่
แล้วผสมด้วยเครื่องปั่น สปีดปานกลาง ใส่น้ำตาลทรายไปทีละ 3-4 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากันจนหมด

จากนั้นก็เอาส่วนผสมแป้งที่เราพักไว้ มาใส่ตามลงไปทีละ 3-4 ช้อนโต๊ะเหมือนกันครับ
ตีไม่ต้องนานมาก ให้ดูว่าเข้ากันดีแล้ว พอผสมแป้งจนหมดเราก็จะได้ส่วนผสมเค้กแล้วครับ

Photobucket

แล้วก็เอาเบอร์ (3) คือ บลูเบอร์รี่สด มาได้แล้วครับ วิธีผสมก็เหมือนที่ทำมัฟฟิ่นคราวนี้แล้ว
ก็คือโรยบลูเบอร์รี่ลงไปแล้วก็เอาส่วนผสมเค้กห่อกลบผลบลูเบอร์รี่ให้เป็นส่วนผสมเดียวกัน
โรยให้ทั่วไปทีละนิด แล้วก็ห่อผสมไปจนหมดครับผม (อยากลองทำมัฟฟิ่นกล้วยหอมบลูเบอร์รี่ คลิกที่นี่ เลย)
แล้วเอาส่วนผสมเค้กไปเทลงในพิมพ์เค้กขนาด 1 ปอนด์ ทาก้นพิมพ์ด้วยเนยหรือน้ำมันก่อนนะครับ

จากนั้นเราก็มาทำหน้าครัมบ์กันได้แล้วครับ…
ครัมบ์ หน้าตาของมันก็จะเหมือนกับ ถั่วบดหยาบๆเวลากัดจะกรุบกรอบ ประมาณนั้นแหละครับ
วิธีทำหน้าครัมบ์ก็ง่ายๆครับ เอาส่วนผสมที่เราเตรียมไว้ทำหน้าครัมบ์ใส่ลงไปพร้อมกันเลย
แล้วก็คลุกเคล้าให้เข้ากันจนหน้าตาออกมาเป็นเศษเม็ดเล็กๆเหมือนน้ำตาลจับตัวเป็นก้อนๆ
แล้วก็เอาหน้าครัมบ์ไปโรยให้ทั่วหน้าส่วนผสมเค้กที่เราเทไว้ในพิมพ์แล้ว ตามรูปข้างล่างเลย ^^

Photobucket

Photobucket

จากนั้นเตรียมเตาอบไว้ที่ 190 C อุ่นเตาที่ 10 นาทีเหมือนเดิมแล้วก็เค้กเข้าอบ
อบที่ไฟบน-ล่าง ประมาณ 40-45 นาที จนเราเอาไม้จิ้มไปกลางเค้กไม่มีเศษติดมาก็เสร็จครับ

เอาเค้กออกจากเตาอบ แล้วก็ราดหน้าเกลซกันได้ครับ…
เกลซ ถ้าใครนึกไม่ออก สีมันจะออกขาวๆเหมือนน้ำตาลเชื่อมข้นๆที่เวลาทิ้งไว้จะแข็งตัวรสหวานๆน่ะครับ
วิธีทำหน้าเกลซก็เหมือนหน้าครัมบ์ คือเอาส่วนผสมลงพร้อมกันแล้วก็คนๆเหมือนชงกาแฟนั่นแหละครับ
เท่านั้นก็ได้หน้าเกลซเอาไว้ราดแล้ว ใครอยากได้เยอะก็กะส่วนผสมกับน้ำร้อนเวลาคนเพิ่มเข้าไปครับ

Photobucket

ได้แล้วครับผม เค้กบลูเบอร์รี่ สำหรับทานกับกาแฟยามเช้า…

อันที่จริงวันนี้ที่ทำ หน้าครัมบ์ไหม้ไปหน่อย เพราะเกิดอาการซน ไปปรับไฟที่เตาอบผิด
เพราะอยากจะลองให้หน้าเค้กไม่ฟูเป็นรูปโค้ง เลยจะปรับไฟล่าง แต่ลืมอ่านคู่มือเตาอบดันหมุนไปไฟบน
หน้าเลยไหม้เลย เกือบกลับตัวไม่ทันแน่ะ (เวลาถ่ายรูปก็เลยต้องหลบๆหน่อย อายเค้าง่า…) ^^”

ก็ไม่รู้ว่าหน้าตาน่ากินรึเปล่านะครับ แต่เค้กนุ่มดีครับ ผมว่าบลูเบอร์รี่ถ้วยนึงมัีนเยอะมาก หน้าตาเลยดูผุๆหน่อย
เพราะโดนบลูเบอร์รี่ฟาดไปเกือบครึ่ง แต่บางคนก็อาจจะชอบแบบนี้ เครื่องเยอะไว้ก่อน หน้าตาทีหลัง XD
คราวหน้าว่าจะลองทำทาร์ต ก็ติดตามกันได้นะครับ สัปดาห์นี้กินเค้กบลูเบอร์รี่ให้อร่อยครับผม…

My Pastry Journey #4: Banana-Blueberry Muffin

กลับมาพบกันอีกสัปดาห์กับขนมอร่อยๆที่อยากมาทำให้เพื่อนๆได้ลองทานกัน
สามสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เอาเมนูอะไรมาทำให้กินบ้างก็ไปดูกันใน My Pastry Journey ได้นะครับ

สัปดาห์นี้ก็จะเป็นอีกเมนูที่ผมเคยลองทำแล้วไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่
มาคราวนี้ เลยไปศึกษามาอย่างดี เพราะเป็นอีกเมนูที่ติดใจมาจากร้านสตาร์บัคส์ ^^
ซึ่งถ้าใครเป็นขาประจำ จะเคยเห็น Skinny Blueberry Muffin ของร้านเค้า
ก็เลยจะมาทำให้ได้ทานกัน โดยเพิ่มกล้วยเข้าไปอีก นั่นก็คือ Banana-Blueberry Muffin นั่นเองครับ

Photobucket

เริ่มแรกต้องเตรียมอะไรกันก่อน ก็ไปดูตามนี้ได้เลยครับผม

(1) นมสด 2/3 ถ้วย
(1) น้ำมันพืช 1/4 ถ้วย
(1) กล้วยหอมบด 1/2 ถ้วย
(1) ไข่ใบใหญ่ (เบอร์ 0) 1 ฟอง
(2) แป้งสาลี 2 ถ้วย
(2) น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย
(2) ผงฟู 2 1/2 ช้อนชา
(2) เกลือ 1/2 ช้อนชา
(2) ผง Nutmeg (ลูกจันทน์ป่น) 1/4 ช้อนชา
(3) ผลบลูเบอร์รี่สด 1 ถ้วย

Photobucket

เริ่มขั้นตอนการทำกันเลยนะครับ…

เริ่มแรกเอาเบอร์ (1) คือ นมสด น้ำมันพืช กล้วยบด ไข่ ใส่ลงไปพร้อมกัน
แล้วตีผสมด้วยส้อมหรือตะกร้อก็ได้ ให้เนื้อเข้ากันดี เท่านั้นก็พอนะครับ ไม่ต้องตีนาน

จากนั้นเอาเบอร์ (2) คือ แป้งสาลี น้ำตาล ผงฟู เกลือ ผง Nutmeg เอาไปร่อนก่อน
แล้วก็เอามาผสมกับส่วนผสมเบอร์ (1) ผสมให้เข้ากันเท่านั้นพอครับ ไม่ต้องตีนาน
จะสังเกตได้ว่า พอเข้ากันแล้ว เนื้อส่วนผสมจะจับตัวเป็นก้อนๆ เหมือนแป้งเปียก
ถ้าได้ดังนั้นแล้วก็ถือว่าเรียบร้อยแล้วล่ะครับ หน้าตาก็ตามรูปข้างล่างนี้เลย

Photobucket

Photobucket

จากนั้นเราก็เอาเบอร์ (3) คือ ผลบลูเบอร์รี่สด พระเอกของเรามาได้แล้วล่ะครับ
ใครจะผสมลูกเกดเพิ่มเข้าไปก็ได้นะครับ ตามแต่ชอบ เพราะผมก็ผสมไปเหมือนกัน ^^

วิธีการผสมบลูเบอร์รี่ลงไป ให้โรยผลบลูเบอร์รี่ลงไปบนหน้าส่วนผสมมัฟฟิ่นก่อน
แล้วก็ใช้ช้อนทำเหมือนเอาส่วนผสมห่อกลบบลูเบอร์รี่ลงไป เวลาโรยให้โรยพอเต็มหน้า
แล้วก็ห่อกลบบลูเบอร์รี่ แล้วก็โรยบลูเบอร์รี่ต่ออีก ทำไปจนผลบลูเบอร์รี่หมดครับผม

Photobucket

จากนั้นก็เตรียมถาดหลุม เอาเนยหรือน้ำมันทาก้นหลุม เวลาเอามัฟฟิ่นออกจะได้ออกง่าย
หรือใครจะเอาถ้วยกระดาษมัฟฟิ่นมาใส่ไปก่อนอีกทีก็ได้ครับ แล้วก็ค่อยทาเนยหรือน้ำมัน
แล้วก็ตักส่วนผสมมัฟฟิ่นใส่ลงไปในหลุม อยากจะให้พูนมากพูนน้อยก็ตามแต่ครับ
แต่อย่าพูนมากไป เพราะอาจจะต้องกะเวลาอบใหม่ เอาสักเกือบปากหลุมก็พอครับ ^^

ถ้าเกิดถาดหลุมเหลือที่ว่าง ใส่น้ำไปด้วยนะครับ เวลาอบจะได้เหมือนอบเท่าๆกัน…

Photobucket

Photobucket

จากนั้นก็เตรียมเตาอบที่ 200 C อุ่นเตาสัก 10 นาทีก่อนเอาส่วนผสมเข้าอบ
เรียบร้อยแล้วก็เอาถาดส่วนผสมเข้าเตาอบ อบไฟบนล่าง 18-20 นาทีครับ
พอสัก 15 นาทีเราก็จะเห็นมัฟฟิ่นฟูสวยๆน่ากินแล้ว แล้วเราก็จะได้มัฟฟิ่นของเรามากินแล้วครับ ^___^

พออบเสร็จแล้ว เอาไม้จิ้มฟันจิ้มลงไปตรงกลางไม่มีเศษแป้งติดขึ้นมาก็เป็นอันใช้ได้
แต่อย่าทิ้งไว้ในเตานานนะครับ พักสักนาทีก็เอาออกมา แล้วก็เอามัฟฟิ่นออกจากถาดได้เลย
เพราะถ้าทิ้งไว้นานไป มัฟฟิ่นจะอมไอน้ำแล้วเนื้อจะแหยะๆ อดอร่อยกันพอดีครับผม…

Photobucket

ท๊าด๊า…ได้แล้วครับ มัฟฟิ่นกล้วยหอม-บลูเบอร์รี่แสนอร่อย \^o^/

หน้าตาก็ใกล้เคียงกับของที่สตาร์บัคส์เนอะ (อิอิ) เวลากินก็จะได้ทั้งรสกล้วยและบลูเบอร์รี่เลย
เมนูมัฟฟิ่นเป็นเมนูที่ทำได้ค่อนข้างง่ายและเร็วมากด้วย ไม่ต้องใช้เครื่องผสมปรับสปีดอะไรให้ยุ่งยาก
แล้วก็มัฟฟิ่นที่ดี เนื้อข้างนอกจะกรอบๆหน่อย ส่วนเนื้อเค้กข้างในจะนุ่ม ถ้าได้ตามนี้ก็ใช่เลยครับ ^^

ทำเที่ยวนี้ประสบความสำเร็จครับผม เนื้อนอกกรอบ เนื้อข้างในนุ่ม ไม่ล้มเหลวแล้วเรา (ฮิฮิ)
เวลากินให้กินกับนมนะครับ จะอร่อยมาก แล้วก่อนจะกินก็เอาเข้าเตาอบก่อน กินตอนร้อนๆจะอร่อยครับ
แล้วครั้งหน้าจะมาพร้อมกับเมนูขนมใหม่ต่อไปครับ กินมัฟฟิ่นให้อร่อยนะครับผม…